บทความจิตฯ

บทความลำดับ 7

(ความรู้ทั่วไป) ไอคิว (IQ) คืออะไร
 ไอคิวคืออะไร ?
คำว่า IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient หมายถึง ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แสดงออกให้เห็นผ่านพฤติกรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดจากพันธุกรรมตลอดไปจนถึงสิ่งแวดล้อม นายวิลเลียม สเตอร์น เป็นคนคิดคำว่า ไอ.คิว. เป็นคนแรก เพื่อบ่งถึงระดับเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล โดยใช้สูตร คือ
     IQ = [ อายุสมอง (Mental Age) / อายุจริง (Chronologic Age) ] * 100
     โดยปกติการวัดระดับไอคิวต้องอาศัยนักจิตวิทยาคลินิกวัดให้ ซึ่งนักจิตวิทยาต้องเป็นผู้ได้รับการฝึกฝนการใช้แบบทดสอบจนชำนาญ และสามารถจัด ไอ.คิว. เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
     (1) ไอ.คิว. ด้านภาษา (Verbal I.Q.)
     (2) ไอ.คิว. ด้านปฏิบัติ (Performance I.Q.)
     (3) ไอ.คิว. รวม (Full I.Q.)
วิธีวัดไอคิว

     นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นวิธีการวัดระดับเชาวน์ปัญญาโดยสร้างแบบทดสอบขึ้นมาโดยแบบทดสอบเหล่านี้จะวัดผู้ทำแบบทดสอบในเชิงของทักษะด้านต่างๆดังนี้

      * ทักษะด้านคณิตศาสตร์

      * ทักษะด้านการใช้ภาษา

      * ทักษะด้านการคิดเชิงตรรกะ

      * ทักษะด้านการมองเห็น

      * ทักษะด้านการจัดหมวดหมู่

      * ทักษะด้านความจำในระยะสั้นๆ

      * ทักษะด้านความรู้ทั่วไป

      * ทักษะด้านความเร็วในการคำนวน
เลข IQ บอกอะไรกับเรา
    เมื่อคุณทราบผลคะแนนไอคิวของคุณก็สามารถนำมาเทียบกับตารางสถิติได้ว่าคุณอยู่ในระดับช่วงใด โดย Percent จะแสดงถึงจำนวนเปอร์เซนต์ของประชากรในโลกที่มีระดับไอคิวในช่วงนั้น ระดับเกณฑ์การให้คะแนน
Type                    IQ           Percent
Genius                  >144                0.13%
Gifted                   130-144           2.14%
Above average   115-129         13.59%
Higher average   100-114         34.13%
Lower average    85-99             34.13%
Below average    70-84             13.59%
Borderline low     55-69               2.14%
Low                       <55                  0.13%
หรือถัาจะมองเป็น Normal Curve จะแสดงได้เป็น
โดยกราฟนี้จะแสดงถึง จำนวนประชากรโดยประมาณที่มีระดับไอคิวอยู่ในแต่ละช่วง ใช้ค่าเฉลี่ยของผลคะแนนเป็น 100 และใช้ sd เป็น 15 ถ้าเราวัดระดับไอคิวทุกคนในโลกจะพบว่า คนส่วนใหญ่ จะมีระดับไอคิวอยู่ในช่วง Average มีเพียงป
ระชากรส่วนน้อยเท่านั้นที่มีไอคิวอยู่ในระดับต่ำมาก หรือสูงมาก ตัวอย่าง ผลวัดคะแนนไอคิวของคุณคือ 115 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 100 แสดงว่าคุณอยู่ใน percentile ที่ 84 ก็หมายความว่าคุณมีไอคิวสูงกว่าคนถึง 84 % ของจำนวนประชากรในโลกนี้ทั้งหมด
อยากเพิ่มไอคิว
     เรื่องนี้ทำได้ไม่ยากเกินกำลังของพวกคุณหรอกลองทำดูสิ
      1. ฝึกฝนเป็นประจำ หมั่นทำปัญหาเชาวน์ พวกแบบทดสอบ ปริศนาอักษรไขว้ และเกมต่างๆ เกมพวกนี้ก็หาได้ง่ายๆ มีอยู่ตามหนังสือพิมพ์และหนังสือนิตยสารต่างๆ หรือถ้าจะให้เข้ากับยุคหน่อยก็ search หาได้ตาม WEB SITE ใน Internet
      2. เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตประจำวัน อ้าว.. อย่าเพิ่งตกใจสิ หมายความว่า ให้พยายามใช้ประสาทสัมผัสของคุณในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่เท่านั้นแหละ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส การรับรส ในสิ่งต่างๆรอบตัวคุณ ทำให้เป็นนิสัยโดยการมีสติ ในการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุณ
      3. เปลี่ยนกิจกรรมและความคิดของคุณ เราไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คุณทำอยู่มันไม่ถูกต้องหรอกนะ แต่การทำอะไร ซ้ำๆซากๆ มันทำให้เกิดความเคยชิน สมองก็จะถูกให้งานในกระบวนการคิดและการตัดสินใจน้อยลง เดี๋ยวก็สมองฝ่อกันพอดี ! ดังนั้นหัดทำอะไรใหม่ๆบ้าง จะได้กระตุ้นการทำงานของสมองให้ตื่นตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น
      4. พยามยามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช่วยเหลือต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข สมุดบันทึก ออกาไนเซอร์ เรียนรู้ที่จะนึกจากความจำของคุณบ้างฝึกตัวเองให้คิดในใจบ้าง เทคโนโลยีต่างๆมันก็ทำให้ชีวิตเราสะดวกดีอยู่หรอก แต่ว่าถ้าคุณไม่หัดทำอะไรได้ด้วยสมองของคุณเอง สุดท้ายคุณก็อาจกลายเป็นคนโง่ในที่สุด
      5. พัฒนาความเข้าใจในภาษา เพราะว่าภาษานี่แหละที่เป็นสื่อให้คุณสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบคุณได้รวดเร็วขึ้น
      6. ใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะ ทานอาหาร ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ พวกบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะดีมาก
IQ สูง หรือ IQ ต่ำ รู้แล้วได้อะไร
      * ถ้าผลที่ได้ว่าคุณมีไอคิวต่ำนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนที่โง่เง่าและไร้ค่า การรู้จักพัฒนาตัวเองและเรียนรู้ชีวิตอย่างคุณค่าและมีความสุขต่างหากล่ะที่เป็นสิ่งสำคัญ
      * ถ้าผลที่ได้ว่าคุณเป็นคนที่ไอคิวสูง ก็จริงอยู่ว่าคุณเป็นคนฉลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนที่วิเศษกว่าคนอื่นๆคุณก็ยังคงเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง จงอย่าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นและคอยดูถูกคนอื่นเพราะ คุณนั่นแหละจะเป็นคนที่โง่ที่สุด
      * IQ ก็เป็นเพียงเกณฑ์หนึ่งที่คนเราคิด ขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถคนในการเรียนรู้ เมื่อพวกคุณรู้ผลที่วัดออกมาได้มันก็อาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้อยากที่พัฒนาศักยภาพของการเรียนรู้ ในตัวของพวกคุณ มันเป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ ที่เราจะได้เห็นความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของทุกๆคน นั่นก็บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติด้วย



          ____________________________________________
บทความลำดับ 6

พัฒนาสมองด้วยวิถีมุสลิม

         สมอง คือส่วนสำคัญของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับร่างไร้วิญญาณและหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด้อยค่าลงทันตา เราจึงมักพบผู้ที่คร่ำหวอดด้านนี้มักแนะนำให้มนุษย์ทุกคนบ ริหารสมองอยู่เสมอ แต่ละวัยอาจมีวิธีการแตกต่างกันบ้าง แม้จะมีหลายเทคนิคให้เลือก เราก็ควรพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับชีวิตผู้ศรัทธาและใช ้มันอย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด ฉบับนี้มีคำแนะนำในการฝึกสมองให้ใช้งานได้ดี เป็นเทคนิคการฝึกสมองให้เราเป็นคนฉลาดในแบบมุสลิมอยู่เสมอ ค่ะ อินชาอัลลอฮฺ
  • จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก ปริมาณน้ำไม่มากในแต่ละครั้ง แต่บ่อยครั้ง ทั่วไปมักแนะนำน้ำเปล่า แต่เราอาจจะสลับเป็นน้ำผสมน้ำผึ้ง น้ำอินทผลัม น้ำสมุนไพรรสละมุนกลิ่นธรรมชาติ อ่อนหวานก็ได้
กินไขมันดี ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม ส่วนวิตามินซีจะช่วยให้เกิดความสดชื่น เราสามารถเลือกสรรได้จากอาหารหลากหลายประเภท
ละหมาด อ่านอัลกุรอานประจำวัน มิใช่เราทำเพราะเป็นคำบัญชาใช้เท่านั้น แต่หากถ้าทำให้หัวใจได้มีส่วนร่วมทุกอิริยาบถ เราจะได้รสชาติที่ชุ่มฉ่ำตลอดวันและเพิ่มสมาธิในทุกย่างก้ าวของชีวิต เช่น หลังจากตื่นนอนอย่างมีสติแล้วเริ่มด้วยการลูบไล้ใบหน้า ดุอาอฺตื่นนอนรำลึกถึงความหมายที่ชุกูรฺขอบคุณที่อัลลอฮฺใ ห้เรายังมีชีวิต จัดเก็บที่นอน ทำกิจวัตรส่วนตัวก็ให้ระลึกว่าทำเพื่ออัลลอฮฺ อาบน้ำละหมาดอย่างตั้งใจ ก่อนละหมาดให้เตรียมตัวว่าจะอ่านซูเราะฮฺอะไรและมี ความหมายอย่างไร หรือจะขอดุอาอฺอะไรในช่วงสูญูด เมื่อเสร็จสิ้น ซิกรุลลอฮฺ อ่านดุอาอฺยามเช้า (อัซการ) อ่านอัลกุรอานศึกษาความหมาย ทั้งหมดนี้อาจใช้เวลาเพียง 10- 20 นาที
       แค่นี้สมองของเราๆ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่นผ่อนคลาย ทำให้สมองสามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์มา กขึ้น

__________________________________________________

บทความลำดับ 5



จิตวิทยากับชีวิตประจําวันของมนุษย์ในทัศนะอิสลาม

      ศาสนาอิสลามเน้นให้มุสลิมทุกคนอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข สร้างความสามัคคีระหว่างสมาชิกในสังคม ช่วยเหลือซึ่งกันเเละกัน
มุสลิมหรือมุสลิมะฮฺในทัศนะอิสลามมีหน้าที่รับใช้อิสลามอย่างเท่าเทียมกัน ทําดีให้กับสังคมเเละชักชวนสมาชิกในสังคมให้ทําความดี
ท่านบีมุฮัมหมัด- ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - คือเเบบอย่างที่ดีของสังคม ท่านจะทําการชักชวนคนอื่นด้วยมารยาทที่ดีงาม บางครั้งท่านใช้วิธีการเเละกฏทางจิตวิทยาบางอย่างเพื่อให้ ท่านผู้ฟังหรือกลุ่มเป้าหมายเข้าใจง่ายขึ้น ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างบางอย่างที่อิสลามส่งเสริมให้ปฏิบัติ ตามต่อบุคคลที่สองหรือต่อบุคคลที่เราพบเจอในสังคม ซึ่งถือได้ว่าเป็นพื้นฐานทางจิตวิทยาในทัศนะอิสลาม :
1- การให้สลามเเละส่งรอยยิ้มให้กับบุคคลที่เราพบเจอในสังคม ถือว่าวิธีการหนึ่งซึ่งจะนํามาซึ่งความรักใคร่ระหว่างกัน ใครจะไปรู้ว่าด้วยรอยยิ้มที่สดใสเเละสีหน้าที่ชื่นบานเป็น สาเหตุหนึ่งที่ทําให้บุคคลที่เราเจอนั้นเกิดความรู้สึกอยา กคบเเละเข้าใกล้เราได้ พร้อมที่จะรับฟังเรา ท่านบีกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
أَوَلَا أَدُلُّكُمْ عَلَى شَيْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ أَفْشُوا السَّلَامَ بَيْنَكُمْ
ความว่า ฉันใคร่ขอชี้เเนะพวกคุณบางอย่าง ซึ่งถ้าพวกคุณทําเเล้ว จะเกิดความรักระหว่างกัน นั่นก็คือ การให้สลามซึ่งกันเเละกัน ( รายงานโดยมุสลิม 81 )
ท่านนบี- ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - กล่าววอีกว่า
كل معروف صدقة وإن من المعروف أن تلقى أخاك بوجه طلق
ความว่า ทุกการงานที่ดีคือการบริจาคทาน ส่วนหนึ่งของการงานที่ดีคือ การที่คุณเผชิญหน้ากับเพื่อนคุณ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มเเย้มเบิกบาน
( รายงานโดย อะฮฺหมัด 14299 )
2- การเเสดงท่าทางประกอบพร้อมคําอธิบาย ถือว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทําให้คนอื่นเข้าใจง่ายกว่า
ครั้งหนึ่งท่านศาสดามุฮัมหมัด- ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - กล่าวว่า พวกเจ้าจงกระทําละหมาดเหมือนที่พวกท่านเห็นข้าทํา หลังจากนั้นท่านได้เเสดงท่าทางการละหมาดให้บรรดาเหล่าสาวก ทั้งหลายเห็น. ( ดูในซุนัน กุบรอยฺ / บัยฮะกีย์ 443 )
3- การเคารพเเละการมีน้ำใจต่อเด็กๆ คือ วิธีการหนึ่งทางจิตวิทยา
ฉะนั้นการพูดคุยของเราเเละการเสนอข้อมูลของเราต่อหน้าเด็ก ๆคงไม่เหมือนกับการเสนอข้อมูลให้กับผู้ใหญ่ ความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นด้านการพูด เจรจา เเนะนําหรือชี้เเนะอย่างน้อยๆต้องเคารพถึงความเป็นเด็กของ พวกเขา 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านศาสดา- ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - ของเราซึ่งทุกครั้งที่ท่านเจอเด็กๆหรือสวนทางกับพวกเขาท่า นจะหันไปทักเด็กๆเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มเเย้มเเจ่มใสเ เละท่านจะให้สลาม โดยกล่าวว่า ขอความสันติจงมีเเด่พวกเจ้า ( รายงานโดยอะนัส)
4- การชักชวนคนหรือเเนะนําคนหรือตักเตือนคนต้องคํานึงถึงอากา รด้านจิตใจของเขาด้วย
มนุษย์ส่วนมากเเล้วจะมีนิสัยเเละลักษณะจิตใจที่ไม่เหมือนก ัน บางครั้งดี บางครั้งไม่ดี เสียอารมณ์บ้าง มีความสุขบ้าง ใจร้อน ใจเย็นเป็นต้น ฉะนั้นทางด้านจิตวิทยาอิสลามสอนว่า เวลาจะตักเตือนคนหรือเเนะนําอะไรบางอย่างต้องสังเกตอารมณ์ คนด้วย ท่านอะลี -เราะฎิยัลลอฮุอะลัยฮฺ - กล่าวว่า
حدثوا الناس بما يعرفون
ความว่า เจ้าจงกล่าวสนทนาคนด้วยถ้อยคําที่พวกเขาเข้าใจ
( รายงายโดนบุคอรีย์ 1 / 217 )
ซึ่งหมายความว่า การสนทนาเเละพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายในเเต่ละครั้งนั้นต้อง ให้เหมาะกับภาษาที่พวกเขายอมรับด้วย เเละเข้าใจตาม
5-การมอบคําอวยพรหรือคําพูดที่สง่างามกับคนป่วย คือสาเหตุหนึ่งที่จะสร้างความสบายใจเเก่ผู้ป่วย เเละขจัดความกังวลของเขาได้
ท่านนบีมุฮัมหมัด- ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - จะกล่าวกับคนป่วยทุกครั้งที่ท่านไปเยี่ยมว่า
لا بأس طهور
ความว่า ไม่เป็นไร สบายใจได้ ( ราบงานโดยบุคอรีย์ 3347 )
เมื่อเราเจอผู้ป่วยที่กําลังท้อหรือหมดกําลังใจเเละสิ้นหว ัง เราควรจะกล่าวโองการอัลลอฮฺที่ว่า
وَلاَ تَيْأَسُواْ مِن رَّوْحِ اللّهِ إِنَّهُ لاَ يَيْأَسُ مِن رَّوْحِ اللّهِ إِلاَّ الْقَوْمُ الْكَافِرُون
ความว่า พวกเจ้าอย่าเบื่อหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮฺ เเท้จริงไม่มีผู้ใดเบื่อหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮฺ นอกจากหมู่ชนผู้ปฏิเสธเท่านั้น ( กุรอาน ซุเราะฮฺยูซุฟ 87 )


 _____________________________________________________________________
บทความลำดับ 4
แนวคิดเรื่องจิตวิทยาที่เกี่ยวกับมนุษย์


มีแนวคิดที่สำคัญอยู่ ห้าแนวคิดคือ
1.แนวคิดทางประสาทวิทยา
   ทฤษฎีนี้เชื่อว่าพฤติกรรมเป็นลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นกิจกรรมของสมองกับประสาทที่ทำงานรวมกับอวัยวะต่างๆภายใจร่างกาย

2.แนวคิดทางพฤติกกรรม
  แนวคิดนี้จะสนใจ เกี่ยว กับสิ่งเร้า และการตอบสนอง ที่แสดงออกมาเห็นได้ชัดเจน ผู้นำในการเคลื่อนไหวของแนวคิดนี้คือ จอห์บี วัตสัน

3 แนวคิดจิตวิเคราะห์ 
   ตามแนวคิดนี้ พฤการรมของมนุษย์ส่วนมากกำหนดขึ้นโดยสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิด แบ่งเป็น
   จิตรู้สำนึก จิตก่อนสำนิก จิตใร้สำนึก 

4 แนวคิดกลุ่มนักจิตวิทยาการรู้-การคิด
   แนวคิดของกลุ่มนี้จะคัดค้านว่ามนุษยืมิได้เพยงแต่หน่วยรับสิ่งเร้า เท่านั้น แต่จิตยีงมีการสร้างกระบวนการประมวลข้อสรเทศที่เข้ามา และส่งผลออกไปเป็นข้อสนเทศใหม่ หรือชนิดใหม่
   
5แนวคิดกลุ่มปรากฎารณ์หรือมนุษนิยม 
   เน้นถึงความสำคัญของประการณ์ส่วนตัว มีลักษณะเป็นนามธรรม ยากแก่การเข้าใจ แต่จะมองในแง่ดี
_______________________________________________________

บทความลำดับ 3

สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือทำลายสมอง

งค์การอนามัยโลกประเมินว่าปัจจุบันมีประชากรโลกใช้โทรศัพท์มือถือราว 5 พันล้านคน และยังเตือนด้วยว่ายิ่งใช้โทรศัพท์มือถือใช้บ่อยเท่าไรก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเนื้องอกในสมองมากขึ้นตามไปด้วย นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นด้วยกับคำเตือนนี้ในขณะที่บางคนแย้งว่ารายละเอียดหลายอย่างยังไม่ชัดเจนนัก

คุณ Camilla Reed ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเว็บไซต์ ElectromagneticHealth.org ซึ่งให้คำแนะนำเรื่องผลกระทบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีต่อสุขภาพระบุว่า เริ่มมีการศึกษาผลกระทบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าตั้งแต่เมื่อ 60 ปีมาแล้ว ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งและผลเสียที่มีต่อเซลล์ต่างๆ ในร่างกายตลอดจนยีนหรือดีเอ็นเอ โดยสิ่งที่คุณ Reed กังวลที่สุด คือ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งตั้งอยู่ใกล้เขตชุมชนโดยเฉพาะโรงเรียน เนื่องจากเด็กๆ คือ กลุ่มที่เปราะบางที่สุดและมีโอกาสได้รับอันตรายจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากที่สุด

แพทย์หญิง Nora Volkov นักประสาทวิทยาแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ คือ ผู้หนึ่งที่ศึกษาผลกระทบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และพบว่าสมองมนุษย์อ่อนไหวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเมื่อแนบโทรศัพท์มือถือไว้ที่หูหรือข้างศรีษะนานๆ

แพทย์หญิง Volkov ชี้ว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15-30 ปีกว่าที่จะทราบผลกระทบที่แท้จริงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม เธอแนะนำว่าผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กๆ หรือเยาวชนคุยโทรศัพท์มือถือโดยแนบไว้ที่หูนานๆ แต่ให้ใช้หูฟังแทน และไม่แนะนำให้วางโทรศัพท์มือถือไว้ใต้หมอนขณะนอนหลับด้วย

ในขณะเดียวกัน Dr. Ashok Agarwal ผอ.ศูนย์วางแผนครอบครัวแห่ง Cleveland Clinic ระบุว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือยังอาจส่งผลต่อระบบการสืบพันธุ์ของเพศชายได้ด้วย โดยบอกว่าผู้ชายที่ใช้โทรศัพท์มือถือเกินวันละ 4 ชั่วโมง มีแนวโน้มสูงที่ตัวแปรควบคุมเชื้ออสุจิจะลดลง เช่น จำนวนตัวอสุจิ ตลอดจนการเคลื่อนที่และโครงสร้างของอสุจิเหล่านั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้โทรศัพท์มือถือนานเกิน 4 ชม. ในแ   ต่ละวัน

ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้นยังไม่ใช่ข้อสรุป เป็นแค่เพียงคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและแพทย์เท่านั้น ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกยืนยันแล้วว่าจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนี้ต่อไป.


บทความลำดับ 2
 จิตแพทย์ กับ จิตวิทยา มีความแตกต่างกันอย่างไร?


จิตเพทย์ นี่สามารถให้คำปรึกษาเเละสั่งให้ยาผู้ป่วยได้  เเต่จิตวิทยา ให้คำปรึกษา รับฟัง ฯ เฉย ๆ ไม่สามารถสั่งยาให้ได้ครับ

  • จิตแพทย์  (Psychiatrist) คือบุคคลที่จบการศึกษาแพทยศาสตร์ แล้วเข้ารับการฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ เมื่อจบออกมาเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ เรียกว่าจิตแพทย์ เป็นศาสตร์ว่าด้วยความผิดปรกติ หรือโรคภัยไข้เจ็บทางด้านอารมณ์และจิตใจเนื้อหาครอบคลุมทั้งทางด้านชีวภาพ จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคล  ตั้งแต่ระยะก่อนเกิด อยู่ในครรภ์ การเลี้ยงดูในระยะต่าง ๆ ตามอายุ เพื่อเข้าใจถึงสาเหตุการเกิดความผิดปรกติด้านจิตใจ บุคลิกภาพ การปรับตัวของคน การวินิจฉัยโรค การรักษา และการป้องกันด้วย
  •     นักจิตวิทยา (Psychologist) นั้นไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นบุคลากรที่มีความรู้ทางจิตวิทยา (Psychology) ซึ่งเป็นศาสตร์หรือวิชาการที่มุ่งอธิบายความเป็นไปในคนปรกติตั้งแต่เกิดและมีพัฒนาการอย่างไรไปตามวัย วัฒนธรรม และสังคม นักจิตวิทยามีหลายสาขา เช่น นักจิตวิทยาคลินิก จะทำงานในคลินิกจิตเวชกับจิตแพทย์ ทำหน้าที่ทดสอบด้วยเครื่องมือ (test)  ต่าง ๆ ทางด้านบุคลิกภาพ อารมณ์ จิตใจ 
อ้างอิง :"ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี"

___________________________________________________________


บทความลำดับ 1
อิสลามมีเคล็ดลับบำรุงสมองหรือไม่?


คำตอบโดยสังเขป:   ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภท อาทิเช่น
1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณ
ก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)
ข. อ่านบทดุอาที่มีผลต่อการเสริมความจำ อย่างเช่นดุอาที่นบี(ซ.ล.)สอนแก่ท่านอิมามอลี(อ.)[i]
سبحان من لايعتدى على اهل مملكته، سبحان من لايأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحيم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انك على كل شى‏ء قدير
ค. อัญเชิญอัลกุรอาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายะฮ์กุรซี
ง. งดเว้นสิ่งที่ทำให้หลงลืม เช่นการทำบาป
จ. หาวิธีผ่อนคลายความเครียด โดยเฉพาะขณะทบทวนตำรา
ฉ. ตัดความสนใจรอบข้าง
ช. ฝึกฝนสมาธิ

2. ปัจจัยทั่วไป
ก. สนองความต้องการขั้นพื้นฐาน(บริโภคอย่างเหมาะสม ออกกำลังกาย ดูแลสุขอนามัย)
ข. แปรงฟัน
ค. รับประทานอาหารที่มีกลูโคส(เช่น อินทผลัม น้ำผึ้ง ขนมหวานที่ถูกสุขลักษณะ ฯลฯ) อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันตับปลา ส้ม มะเขือเทศ ข้าวกล้อง ผักเขียว แครอท ตับ ฯลฯ
ง. ฝึกทบทวนเนื้อหาที่ต้องการจำ

3. วิธีที่แนะนำโดยนักจิตวิทยา
ก. แบ่งคำ ข.สร้างความหมาย ค.จัดระเบียบ ง.คืนภาวะแวดล้อม จ.เคล็ดลับจำเป็นเลิศ
--------------------------------------------------------------------------------
[i] มะฟาตีฮุ้ลญินาน,ภาคแรก,บทแรก,ดุอาหลังนมาซ


รายละเอียดคำตอบ
ปัจจัยที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำมีอยู่หลายประเภท อาทิเช่น

1. ปัจจัยด้านจิตวิญญาณ

ก. การรำลึกถึงอัลลอฮ์(ด้วยการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนมาซตรงเวลา)
ข. อ่านบทดุอาที่มีผลเสริมความจำ ทั้งนี้ บรรดาอิมามสอนให้เราขอต่อพระองค์ให้ทรงเสริมปัญญาและความเข้าใจ ตัวอย่างดุอาที่มีผลต่อพัฒนาการทางสมอง[1]เช่น

-ดุอาที่ท่านนบี(ซ.ล.)สอนแก่อิมามอลี(อ.)[2]:
سبحان من لايعتدى على اهل مملكته، سبحان من لايأخذ اهل الارض بالوان العذاب، سبحان الرؤوف الرحيم، اللهم اجعل لى فى قلبى نورا و بصرا و فهما و علما انك على كل شى‏ء قدير
-ดุอาที่ซัยยิด บินฏอวู้ส ได้รายงานไว้ว่ามีผลบำรุงจิตใจ โดยให้อ่านสามจบว่า
يا حى يا قيوم يا لااله الا انت اسئلك أن تحيى قلبى اللّهم صل على محمد و آل محمد[3]
-ดุอาเพื่อการทบทวนตำรา
اللهم اخرجنى من ظلمات الوهم و اكرمنى بنور الفهم اللّهم افتح علينا ابواب رحمتك و انشر علينا خزائن علومك برحمتك يا ارحم الراحمين[4]

-หลังนมาซซุบฮิ ก่อนจะเอ่ยคำพูดอื่นใดให้กล่าวประโยคนี้ يا حى يا قيّوم فلا يفوت شيئا علمه و لايؤدّه[5]

ค.อัญเชิญกุรอาน โดยเฉพาะอายะฮ์กุรซี

ง. หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ความจำเลือนลาง เช่น การทำบาป การหมกมุ่นทางโลก การเล่นสนุกจนเกินขอบเขต เศร้าเสียใจเกี่ยวกับทางโลก[6]

จ. ขจัดความเครียด โดยเฉพาะในขณะทบทวนตำรา

ฉ. ลดความคิดฟุ้งซ่าน

ช. ฝึกฝนให้มีสมาธิแน่วแน่

เกร็ดน่ารู้: ต้องคำนึงว่า แม้วิธีต่างๆข้างต้นจะได้มาจากฮะดีษก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะถือเป็นมูลเหตุสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในการบำรุงความจำ ทั้งนี้ก็เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยสำคัญอีกประการที่เกี่ยวข้องได้ นั่นก็คือปัจจัยทางพันธุกรรม

กล่าวคือ ความจำและไอคิวเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสภาพแวดล้อม วิธีที่นำเสนอทั้งหมดเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสภาพแวดล้อมซึ่งเรากำหนดได้ แต่ปัจจัยทางพันธุกรรมอันเกี่ยวข้องกับปู่ย่าตายายของแต่ละคนนั้น เราไม่อาจะควบคุมได้ ฉะนั้น ไม่ควรคาดหวังว่าหากปฏิบัติตามวิธีต่างๆข้างต้นแล้ว ระดับไอคิวจะเพิ่มจาก 90 เป็น 120 ในชั่วข้ามคืน และหากมิได้เป็นไปตามที่คาดไว้ แสดงว่าวิธีที่บรรดาผู้นำศาสนาสอนไว้เป็นเรื่องเหลวไหลก็หาไม่ แต่สมมติในกรณีไอคิวระดับ100 หากต้องการจะพัฒนาศักยภาพความคิดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็อาจเป็นไปได้

ตรงกันข้ามกับกรณีของเด็กๆ หากพวกเขาได้รับการดูแลเอาใจใส่ทางโภชนาการตั้งแต่ในครรภ์จนถึงวัยอนุบาล รวมถึงหากมีการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นเชาวน์ปัญญา ก็สามารถเพิ่มระดับไอคิวของเด็กได้ แต่ในกรณีของวัยรุ่นหรือวัยกลางคนนั้น ทำได้แค่เพียงป้องกันไม่ให้ระดับเชาวน์ปัญญาที่มีอยู่ลดลง และพยายามเพิ่มศักยภาพทางความคิดให้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงศักยภาพสูงสุดของระดับเชาวน์ปัญญาที่มีอยู่ โดยที่คำแนะนำจากผู้นำศาสนาที่นำเสนอข้างต้น ล้วนเป็นไปเพื่อดึงศักยภาพดังกล่าวทั้งสิ้น.
 

2. ปัจจัยทางกายภาพ

ก. สนองความต้องการขั้นพื้นฐาน(บริโภคอย่างเหมาะสม ออกกำลังกาย ดูแลสุขอนามัย)
ข. แปรงฟัน
ค. รับประทานอาหารที่มีกลูโคส(เช่น อินทผลัม น้ำผึ้ง ขนมหวานที่ถูกสุขลักษณะ ฯลฯ) อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันตับปลา ส้ม มะเขือเทศ ข้าวกล้อง ผักเขียว แครอท ตับ ฯลฯ

หนังสือมะฟาตีฮุลญินาน(ฉบับเต็ม)แนะนำว่า ควรรับประทานลูกเกดโดยเฉพาะชนิดสีแดงเข้มจำนวนยี่สิบเอ็ดเม็ดระหว่างมื้อเช้า, ฮัลวา(งาบดหวาน), เนื้อบริเวณต้นคอ, น้ำผึ้ง, และถั่วอะดัส เนื่องจากมีคุณประโยชน์ต่อความจำทั้งสิ้น.[7]

ง. ฝึกทบทวนเนื้อหาที่ต้องการจำ(สำคัญอย่างยิ่ง)
จ. หลังอ่านหนังสือเป็นเวลาสี่สิบห้านาที ให้หยุดพักสิบนาที
ฉ. ฝึกหายใจ วิธีง่ายๆก็คือ ขณะยืนตรงหรือนอนหงาย ให้หายใจเข้าเต็มปอด แล้วจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ

3. กลวิธีเสริมความจำจากผู้เชี่ยวชาญ
ก. วิธีผสมคำ: หมายถึงการผสมพยางค์หรือตัวเลขที่ต้องการจำ ให้เป็นคำหรือประโยคที่มีความหมาย อย่างเช่น ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง หรือกลอนสระ“ใ”ที่เราคุ้นเคยกันดี

ข. เน้นจำความหมาย: วิธีนี้จะทำให้ท่องจำได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ โดยเฉพาะหากเราเข้าใจความหมายของสิ่งที่ต้องการจำได้ลึกเท่าใด ก็ยิ่งทำให้จำง่ายยิ่งขึ้น ฉะนั้น แทนที่เราจะท่องจำประโยคเพียงผิวเผิน ก็ให้เราคำนึงถึงความหมายด้วย

ค. จัดระเบียบ: การเข้าใจ จำ และนึกทบทวนเนื้อหาที่ซับซ้อนจะไม่ไช่เรื่องยากอีกต่อไป หากมีการจัดให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ที่เหมาะสม ไล่เรียงจากเนื้อหาองค์รวมไปสู่รายละเอียดปลีกย่อย แล้วจึงท่องจำตามแผนภูมิดังกล่าว

ง. คืนสู่บรรยากาศแวดล้อม: การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นในเวลาและสถานที่อันเฉพาะทั้งสิ้น เราเรียกภาชนะกาลเวลาและสถานที่เหล่านี้ว่า “บรรยากาศแวดล้อม” หากต้องการจะนึกทบทวนประเด็นใดเป็นพิเศษ ควรหาทางย้อนสู่บรรยากาศแวดล้อมที่คล้ายกับเมื่อครั้งที่เราเรียนรู้ประเด็นนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการจะนึกชื่อเพื่อนๆสมัยประถม ให้ลองเดินที่ระเบียงห้องในโรงเรียนประถมดู จะพบว่าสามารถนึกทบทวนได้ง่ายกว่า

จ.เคล็ดลับจำเป็นเลิศ: วิธีนี้เป็นกลยุทธการเรียนรู้และจดจำตำราที่มีประสิทธิภาพยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักศึกษา ซึ่งประกอบไปด้วยหกขั้นตอนด้วยกัน 1.อ่านคร่าวๆ 2.สอบถามผู้อื่น 3.อ่านละเอียด 4.ไตร่ตรอง 5.จดจำ 6.ทบทวน

อธิบาย: สมมติว่าผู้อ่านต้องการจะท่องจำหนังสือสักเล่มให้ได้ ขั้นแรกให้อ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างคร่าวๆเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเนื้อหาหนังสือ และสามารถนำใจความสำคัญมาเรียงลำดับตามวิธี“จัดระเบียบ”ได้อีกด้วย ขั้นตอนที่สอง ให้ผู้อ่านตั้งคำถามเกี่ยวกับแต่ละหมวดในหนังสือ แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนที่สาม นั่นคือ“อ่านจริง”โดยจุดประสงค์เพื่อหาคำตอบสำหรับขั้นตอนที่สอง
ส่วนขั้นตอนที่สี่ ให้ผู้อ่านครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงกันของเนื้อหาที่อ่าน เพื่อให้สอดคล้องกับวิธี“เน้นจำความหมาย” หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนที่ห้าและหก ที่ผู้อ่านควรต้องจดจำและท่องเนื้อหาปากเปล่าได้ และสามารถทบทวนด้วยการตอบคำถามที่ตั้งไว้ในขั้นตอนที่สองได้โดยไม่ต้องเปิดหนังสือ.[8]
เชิญค้นหาคำตอบเกี่ยวกับอิสลามได้ที่ www.islamquest.com




Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More